Author: wannikaj
สิ่งสำคัญ ก่อนตัดสินใจติดฟิล์มใสกันรอยให้กับรถที่คุณรัก
ทำไมถึงต้องติดตั้ง ฟิล์มใสกันรอยที่ One Max Clean ?
- ใช้ฟิล์มเกรด TPU สำหรับรถยนต์โดยเฉพาะ มีความยืดหยุ่นได้ และได้รถที่เงาใส สีสวย
- งานติดตั้งเนียนๆ เงาใสจนดูเหมือนไม่ได้ติดฟิล์ม
- สั่งตัดฟิล์มผ่านโปรแกรม Computer 3D Software & Mimaki Digital Plotter
- แบบ pattern ตรงรุ่นเข้ารูปสวยงาม ไม่ใช้คัทเตอร์กรีดบนชิ่นตัวรถ ไม่มีรอยคัทเตอร์ตอนลอกฟิล์ม ไม่มีรอยกรีด
- ไม่ว่าติดชุดแต่ง หรือมีจุดเสี่ยงเล็กแค่ไหน เราก็สามารถสร้างแบบขึ้นมาได้
- ฟิล์มลอกออก โดยไม่ดึงชั้นแล็คเกอร์ ไม่ทิ้งคราบกาว
- ฟิล์มกันรอยสามารถซ่อมแซมตัวเองได้ เมื่อมีรอยขนแมว
- รับประกันคุณภาพฟิล์ม ไม่เหลือง ไม่แตกลายงา อายุการใช้งานยาวนานกว่าฟิล์ม PVC
- มีบริการเซอร์วิสฟิล์ม ทุกๆ 6 เดือนฟรี ตลอดอายุการใช้งาน
มาถึงตอนนี้ทุกท่านคงพอจะได้ความรู้เพิ่มกันไปแล้วบ้างนะครับ อย่าลืมนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ประกอบการตัดสินใจกันนะครับ หรือหากท่านยังคงไม่แน่ใจอยู่ ลองติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกับศูนย์บริการของเราได้เลย ทีมงานของเรายินดีให้บริการดูแลรถของคุณอย่างดีที่สุดอย่างแน่นอน
ฟิล์มใสกันรอย รถยนต์ ดีไหม ?
ฟิล์มใสกันรอย รถยนต์ ดีไหม ?? คำถามนี้เป็นสิ่งที่หลายๆท่านอยากรู้คำตอบ
สำหรับในปัจจุบัน เทคโนโลยี ที่ดีที่สุดของการปกป้องสีรถยนต์ก็คือการติดตั้งฟิล์มใสกันรอย ภาษาอังกฤษเรียกว่า Paint Protection Film ครับ ซึ่งการติดตั้งฟิล์มใสกันรอยจะช่วยปกป้องสีรถจากริ้วรอยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรอยขนแมว รอยจากการเช็ดและล้างที่ไม่ถูกวิธี รอยสะเก็ดหิน รวมถึงอุบัติเหตุเฉี่ยวชนเล็กน้อย ด้วยครับ
สิ่งที่เราควรพิจารณาก่อนการเลือกติดตั้งฟิล์มใสกันรอย นอกจากเรื่องของราคา ก็คือคุณภาพและคุณสมบัติของฟิล์มใสกันรอย ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ความหนา การซ่อมแซมตัวเองเมื่อเกิดรอย อายุการใช้งาน คราบกาว ความใสของเนื้อฟิล์มหลังการติดตั้ง เป็นต้น
แต่ทีนี้เราควรจะติดตั้งฟิล์มใสกันรอยแบบไหนดีนะ เพราะว่าในตลาดก็โฆษณากันไว้หลายๆ แบบ ไม่ว่าจะเป็นแบบ PVC , TPH , TPU เรามาดูกันครับว่าแต่ละแบบ แตกต่างกันอย่างไร
ฟิล์มใสกันรอยรถยนต์ มีกี่แบบ ?
- แบบแรก ฟิล์มใสกันรอย เกรด PVC (Polyvinylchloride) เกรดนี้มีข้อดีคือราคาถูกที่สุด ส่วนคุณสมบัติอื่นจะไม่ค่อยดี ไม่ว่าจะการให้ตัวหรือความยืดหยุ่นที่น้อยมากๆทำให้ไม่สามารถซ่อมแซมตัวเองได้เมื่อเกิดริ้วรอยบนชั้นฟิล์ม และพอเสื่อมสภาพฟิล์มจะแตกลายงา ถัดมาคือคราบกาว กาวจะค่อนข้างเยอะ ถ้าบางเจ้ากาวเยอะมากๆ ตอนลอกออกจะมีโอกาสที่จะดึงสีรถ(ชั้นแล็คเกอร์) ออกมาด้วย ส่วนในเรื่องของความหนา ความหนาจะน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับทุกแบบ สุดท้ายอายุการใช้งานที่สั้น ยิ่งบ้านเรามีอากาศที่ร้อนชื้น หากใช้งานรถเป็น daily use อายุการใช้งานไม่เกิน 1 ปี มีแนวโน้มที่จะเสื่อมสภาพครับ
- แบบถัดมาคือ ฟิล์มใสกันรอย เกรด TPH (Thermoplastics Polyurethane Hybrid) มีการบอกกันว่าเป็นลูกครึ่งระหว่าง PVCและ TPU ซึ่งข้อดีจะดีกว่าเกรด PVC ขึ้นมา จะมีอายุนานกว่า การให้ตัวดีกว่า และมีคุณสมบัติที่ดีกว่า PVC ส่วนเรื่องคราบกาวยังคงมีอยู่ แต่จะไม่เยอะเท่า PVC มีความใสมากกว่า pvc และราคาจะสูงขึ้นมาจากเกรด pvc แต่ความเงาใสจะยังมีลักษณะเป็นคลื่นผิวส้ม ไม่เนียนเรียบใส ส่วนอายุการใช้งานจะอยู่ที่ประมาณ 2 ปี
- แบบสุดท้าย คือ ฟิล์มใสกันรอย เกรด TPU ชื่อเต็มคือ Thermoplastic Polyreuthane ซึ่งเป็นเกรดที่เหมาะสมที่สุดในการติดตั้งบนสีรถยนต์ครับ เนื่องจากมีความยืดหยุ่นสูง มีความใสกว่าทุกเกรด รวมถึงมีความหนามากสุด และปัญหาคราบกาวเวลาลอกออกที่แทบจะไม่มีเลย ซึ่งฟิล์มเกรด TPU จะมีอายุการใช้งาน 3-5 ปี แล้วแต่ยี่ห้อของฟิล์มใสกันรอย ซึ่งการติดฟิล์ม TPU จะเป็นที่นิยมมากที่สุด เพราะนอกเหนือจากคุณสมบัติข้างต้นแล้ว ก็ยังมีคุณสมบัติอื่นๆ ด้วย เช่น การซ่อมแซมตัวเองเมื่อเกิดริ้วรอย (self healing) การไล่น้ำแบบเคลือบแก้ว/เคลือบเซรามิก (hydrophobic effect) เป็นต้น
จบไปเรียบร้อยสำหรับประเภทของ ฟิล์มใสกันรอยรถยนต์ว่ามีกี่แบบนะครับ ส่วนท่านที่อยากติด ฟิล์มใสกันรอย รถยนต์ ร้านไหนดี …. อันนี้แล้วแต่ความสะดวกในการเดินทางไปติดตั้งและเข้าเซอร์วิสเลยครับ เพราะว่าหลังจากการติดตั้งฟิล์มใสกันรอยไปแล้ว ถ้าเราไม่มาดูแล ไม่ตรวจเช็คขอบฟิล์ม หรือไม่นำรถมาลอกฟิล์มออกเวลาฟิล์มหมดอายุ ฟิล์มจะแห้งติดที่ตัวรถ ทำให้เกิดผลเสียต่อสีรถ เพราะฉะนั้นควรจะตรวจสอบกับร้านที่ติดตั้งว่ามีการดูแลหลังการขายยังไงบ้าง สำหรับ การติดฟิล์มใสกันรอย รถยนต์ เพื่อให้รถของเราได้รับปกป้องอย่างแท้จริง รวมถึงการดูแลหลังจากฟิล์มใสกันรอยหมดอายุอีกด้วยครับ
มาถึงตอนนี้ทุกท่านคงพอจะได้ความรู้เพิ่มกันไปแล้วบ้างนะครับ อย่าลืมนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ประกอบการตัดสินใจกันนะครับ หรือหากท่านยังคงไม่แน่ใจอยู่ ลองติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกับศูนย์บริการของเราได้เลย ทีมงานของเรายินดีให้บริการดูแลรถของคุณอย่างดีที่สุดอย่างแน่นอน
ข้อดีและข้อจำกัดของการเคลือบสีลงแว็กซ์
การลงแว๊กซ์ หรือ การเคลือบสี เป็น วิธีการดูแลรถอีกรูปแบบหนึ่งที่หลายท่านคุ้นเคย นิยมเลือกใช้กันมาตลอด แต่ในปัจจุบันก็มีการพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับดูแลปกป้องรถที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นออกมาให้เราได้เห็นกันอยู่เรื่อย ๆ อย่างเช่น เทคโนโลยีฟิล์มใสกันรอย วันนี้เราเช็คข้อมูลกันดูหน่อยดีกว่า ว่าการเคลือบสีลงแว็กซ์นั้นยังเป็นการดูแลรถที่เหมาะกับคุณอยู่หรือเปล่า
น้ำยาเคลือบสี ที่นำมาใช้กันนั้นมีมากมายหลายประเภท เช่น คลีนเนอร์แว็กซ์ แว็กซ์สังเคราะห์ คาร์นัวบ้า (ไขที่ได้จากธรรมชาติ) แว็กซ์ โดยราคาจะแพงขึ้นตามคุณภาพของส่วนประกอบ และคุณสมบัติของตัวน้ำยา ทั้งในด้านความเงางามและความติดคงทน
ข้อได้เปรียบของการเคลือบสี
1. ราคาไม่แพง โดยทั่วไป ถ้าซื้อเป็นขวดก็จะอยู่ในช่วงราคา 2000 – 4000 บาท
2. มีหลายแบบให้เลือก ชอบแบบเงาใส เงาฉ่ำ เงาลึกได้หมดถ้าสดชื่น
3. สามารถทำเองที่บ้านได้
ข้อจำกัดของการเคลือบสี
1. ต้องทำบ่อย ๆ อาทิตย์ละ 1 ครั้งจะดีที่สุด
2. ไม่ทนทานต่อการขัดล้าง เมื่อผ่านการล้างรถประมาณ 2-3 ครั้ง น้ำยาก็หลุดออกหมด
3. เน้นความสวยงาม ให้มิติของรถยนต์ ให้พื้นผิวเรียบ ลื่น และให้การปกป้องได้ในระดับเบื้องต้น
สรุป
การเคลือบสีลงแว๊กซ์ เหมาะสำหรับผู้ที่มีงบประมาณไม่มากและมีเวลาพอสมควร เนื่องจากมีขั้นตอนในการดูแลเอาใจใส่รถและต้องทำเป็นประจำ การปกป้องผิวรถจากการเช็ดถู รอยขีดข่วน และคราบต่าง ๆ อยู่ในระดับที่ไม่สูงนัก
หากคุณต้องการการดูแลปกป้องรถยนต์ที่มีประสิทธิภาพสูงมากกว่านี้ เราขอแนะนำให้เลือกใช้บริการเคลือบเซรามิกเคลือบแก้ว หรือ การติดฟิล์มใสกันรอย จะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของคุณได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้อาจมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นด้วย
แนะนำการดูแลรถให้ปลอดภัยจากเชื้อไวรัส Covid-19
ณ ช่วงนี้ เป็นช่วงการระบาดของไวรัส #Covid ทำให้หลายๆ คนไม่ได้ออกไปไหน หรืออย่างมากก็ออกไปซื้อของใกล้ๆ วันนี้ศูนย์เคลือบแก้วนครปฐม วันแม็คคลีน จึงมีวิธีการดูแลมาแนะนำกันครับ เพื่อให้รถของคุณปลอดภัยจากเชื้อไวรัส Covid-19 ที่สามารถทำได้ง่ายๆ ที่บ้าน ด้วยตัวของคุณเอง ใช้เวลาเพียงเล็กน้อย คุ้มค่าสำหรับการดูแลสุขภาพของคุณนะครับ ^ ^
เตรียมอุปกรณ์
- ภาชนะสำหรับใส่น้ำ 2 ใบ
- สบู่ จะเป็นแบบก้อน หรือสบู่เหลวก็ใช้ได้ครับ
- ผ้าชามัวร์ 1 ผืน
- ผ้าไมโครไฟเบอร์ 2 ผืน
ลงมือทำความสะอาด
เริ่มจากการนำผ้าชามัวร์และผ้าไมโครไฟเบอร์ 1 ผืน แช่ในน้ำ เพื่อให้ผ้านิ่ม
บิดผ้าชามัวร์พอให้หมาด ๆ และใช้สบู่ก้อนถูไปที่ผ้า หรือหยดสบู่เหลวลงบนผ้า เพียงเล็กน้อย
นำผ้าชามัวร์ไปเช็ดให้ทั่วบริเวณภายในรถของคุณ โดยเช็ดซ้ำสัก 2-3 รอบ นอกจากจะช่วยกำชัดเชื้อไวรัส COVID-19 แล้ว ยังเป็นการทำความสะอาดคราบสกปรกตามส่วนต่าง ๆ ภายในรถได้อีกด้วย
จากนั้นนำผ้าไมโครไฟเบอร์ที่แช่น้ำไว้ บิดหมาด ๆ มาเช็ดซ้ำ เพื่อล้างคราบสบู่ และเช็ดซ้ำด้วยผ้าไมโครไฟเบอร์แห้งอีกครั้ง
ไม่ยากเลยใช่ไหมครับ เพียงเท่านี้รถของคุณก็จะสะอาด ปลอดภัยจากไวรัสตัวร้ายกันแล้ว ทำให้คุณและคนที่คุณรักเดินทางกันได้อย่างสบายใจเลยทีเดียว
ดูแลรถยนต์ด้วยการเคลือบแก้ว มีดีอย่างไร?
ส่วนผสมหลักของน้ำยาเคลือบแก้ว
คือ SiO2 (ซิลิค่อนไดอ๊อกไซด์) ซึ่งชื่อของน้ำยา เคลือบแก้ว นั้นสามารถเรียกได้หลากหลายแบบตามการจัดเรียงตัว เช่น Silica (ซิลิก้า) หรือ Quartz (ควอทซ์) หรือ Crystalline Silica (คริสตัลไลน์ซิลิก้า)
หลายท่านมีข้อสงสัยว่าการ เคลือบแก้ว กับเคลือบเซรามิกนั้นต่างกันอย่างไร? คำตอบคือ… มันแตกต่างกันแค่ชื่อครับ หลักสำคัญที่เราควรพิจารณา คือ ค่าความแข็งของน้ำยาเคลือบ (ที่ได้รับการรับรองจากสถาบัน SGS) และประสิทธิภาพการไล่น้ำ (Hydrophobic Effect)
ค่าความแข็งตัวของน้ำยาเคลือบแก้ว ระดับ 9H
เป็นการทดสอบความแข็งของน้ำยาเคลือบแก้ว โดยใช้วิธีการกดหรือการลากของดินสอที่มีความแข็งหลาย ๆ ระดับ (Pencil Hardness Test) เช่น 5H, 6H…,9H (แข็งที่สุดคือ 9H) ลงบนน้ำยา แล้วดูว่าเกิดรอยหรือไม่ ฉะนั้นน้ำยาไม่ได้แข็งเท่าเหล็กหรือเพชรนะครับ มีการรับรองมาตรฐานความแข็งของน้ำยาเคลือบแก้วโดยสถาบัน SGS ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล
ไฮโดรโฟบิค (Hydrophobic)
“ไฮโดร” แปลว่า น้ำ และ “โฟบิค” แปลว่า กลัว ดังนั้นคำว่า “ไฮโดรโฟบิค” จึงหมายถึง กลัวน้ำ, ไม่ชอบน้ำ เป็นค่าที่บ่งบอกถึงประสิทธิภาพคุณสมบัติการไล่น้ำของน้ำยาเคลือบแก้ว
ขั้นตอนทั่วไปสำหรับการเคลือบแก้วรถยนต์
นอกจากการพิจารณาคุณสมบัติของน้ำยาเคลือบแก้วที่จะใช้กับรถของคุณแล้ว ปัจจัยสำคัญด้านอื่นๆ ที่ควรใช้ประกอบการตัดสินใจ สำหรับการเลือกใช้บริการเคลือบแก้วรถยนต์กับผู้ศูนย์ให้บริการแห่งใด ก็คือ
ขั้นตอนการเตรียมผิว
ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่สำคัญมากที่สุด ในกระบวนการ เคลือบแก้ว โดยถ้าเตรียมผิวรถยนต์ก่อนเคลือบได้ไม่ดี พื้นผิวสียังมีคราบสกปรก ยังมีริ้วรอย หรือรอยริ้วแสง (Hologram) จากการขัดสี ย่อมทำให้สีรถคันนั้นไม่ส่องประกายและไม่เงางามได้อย่างที่ควรจะเป็น
การดูแลหลังการขาย (Maintenance Service)
อย่างที่ทราบกันว่าน้ำยาเคลือบแก้วนั้น มีความแข็งและทนต่อการขีดข่วนที่มากสุดก็เท่ากับแรงกดของดินสอระดับ 9H แต่การใช้รถในชีวิตประจำวัน เราอาจต้องเจอกับสิ่งที่แข็งกว่าดินสอมาขูดขีดรถ รวมถึงคราบสะสมต่าง ๆ จากมลภาวะ ทำให้ผิวรถหมองลงหรือมีริ้วรอยบนชั้นเคลือบได้ ดังนั้นจึงต้องมีการนำรถเข้ามารับบริการ maintenance ตามรอบทุก ๆ 4-6 เดือน เพื่อเติมหรือบำรุงชั้น เคลือบแก้ว ให้รถกลับมาสวยและไล่น้ำได้ดีอีกครั้ง (หมายเหตุ: Maintenance Service ไม่ใช่การทำเคลือบสีหรือลงแว๊กซ์นะครับ)
ข้อได้เปรียบของการเคลือบแก้ว
1. คุณจะรักรถมากขึ้นและอยากดูแลรถให้สวยไปอีกนาน
2. รถจะเงาใสสวยงามเป็นปีถึงหลายปี (โดยต้องเข้ามา Maintenance ตามรอบ)
3. เพียงการล้างรถ รถก็จะเงาสวยใสและล้างง่ายมาก
4. ป้องกันการเกิดรอยขนแมวได้ดีมาก
ข้อจำกัดของการเคลือบแก้วที่ควรทราบ
1. ช่วยชะลอการเกิดคราบต่าง ๆ บนพื้นผิวสีรถ แต่ไม่สามารถป้องกันการกระแทกแรง ๆ ได้ (เช่น สะเก็ดหิน)
2. ยังต้องใส่ใจและดูแลรถอยู่ เช่น การเข้ามาเรับบริการ maintenance ตามรอบ
สรุป
การ เคลือบแก้วรถยนต์ เหมาะกับผู้ที่มีงบประมาณพอสมควรและไม่ค่อยมีเวลาในการดูแลรถ แต่ยังต้องการให้รถยนต์ดูสวย เงางาม สามารถปกป้องรอยขนแมวหรือรอยขีดข่วนที่ไม่แรงมากได้
ถ้าหากคุณต้องการการปกป้องรถที่คุณรักจากรอยขีดข่วนต่าง ๆ ที่มีประสิทธิภาพมากกว่านี้ เราแนะนำให้เลือกใช้บริการติดฟิล์มกันรอยรถยนต์ จะเป็นวิธีดูแลรถที่คุ้มค่าและตรงกับความต้องการของคุณมากกว่า