ดูแลรถยนต์ด้วยการเคลือบแก้ว มีดีอย่างไร?

ส่วนผสมหลักของน้ำยาเคลือบแก้ว

คือ SiO2 (ซิลิค่อนไดอ๊อกไซด์) ซึ่งชื่อของน้ำยา เคลือบแก้ว นั้นสามารถเรียกได้หลากหลายแบบตามการจัดเรียงตัว เช่น Silica (ซิลิก้า) หรือ Quartz (ควอทซ์) หรือ Crystalline Silica (คริสตัลไลน์ซิลิก้า)

หลายท่านมีข้อสงสัยว่าการ เคลือบแก้ว กับเคลือบเซรามิกนั้นต่างกันอย่างไร? คำตอบคือ… มันแตกต่างกันแค่ชื่อครับ หลักสำคัญที่เราควรพิจารณา คือ ค่าความแข็งของน้ำยาเคลือบ (ที่ได้รับการรับรองจากสถาบัน SGS) และประสิทธิภาพการไล่น้ำ (Hydrophobic Effect)

ค่าความแข็งตัวของน้ำยาเคลือบแก้ว ระดับ 9H

เป็นการทดสอบความแข็งของน้ำยาเคลือบแก้ว โดยใช้วิธีการกดหรือการลากของดินสอที่มีความแข็งหลาย ๆ ระดับ (Pencil Hardness Test) เช่น 5H, 6H…,9H (แข็งที่สุดคือ 9H) ลงบนน้ำยา แล้วดูว่าเกิดรอยหรือไม่ ฉะนั้นน้ำยาไม่ได้แข็งเท่าเหล็กหรือเพชรนะครับ มีการรับรองมาตรฐานความแข็งของน้ำยาเคลือบแก้วโดยสถาบัน SGS ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล

ค่าความแข็งของน้ำยาเคลือบแก้ว

ไฮโดรโฟบิค (Hydrophobic)
“ไฮโดร” แปลว่า น้ำ และ “โฟบิค” แปลว่า กลัว ดังนั้นคำว่า “ไฮโดรโฟบิค” จึงหมายถึง กลัวน้ำ, ไม่ชอบน้ำ เป็นค่าที่บ่งบอกถึงประสิทธิภาพคุณสมบัติการไล่น้ำของน้ำยาเคลือบแก้ว

ขั้นตอนทั่วไปสำหรับการเคลือบแก้วรถยนต์

นอกจากการพิจารณาคุณสมบัติของน้ำยาเคลือบแก้วที่จะใช้กับรถของคุณแล้ว ปัจจัยสำคัญด้านอื่นๆ ที่ควรใช้ประกอบการตัดสินใจ สำหรับการเลือกใช้บริการเคลือบแก้วรถยนต์กับผู้ศูนย์ให้บริการแห่งใด ก็คือ

ขั้นตอนการเตรียมผิว

ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่สำคัญมากที่สุด ในกระบวนการ เคลือบแก้ว โดยถ้าเตรียมผิวรถยนต์ก่อนเคลือบได้ไม่ดี พื้นผิวสียังมีคราบสกปรก ยังมีริ้วรอย หรือรอยริ้วแสง (Hologram) จากการขัดสี ย่อมทำให้สีรถคันนั้นไม่ส่องประกายและไม่เงางามได้อย่างที่ควรจะเป็น

การดูแลหลังการขาย (Maintenance Service)

อย่างที่ทราบกันว่าน้ำยาเคลือบแก้วนั้น มีความแข็งและทนต่อการขีดข่วนที่มากสุดก็เท่ากับแรงกดของดินสอระดับ 9H แต่การใช้รถในชีวิตประจำวัน เราอาจต้องเจอกับสิ่งที่แข็งกว่าดินสอมาขูดขีดรถ รวมถึงคราบสะสมต่าง ๆ จากมลภาวะ ทำให้ผิวรถหมองลงหรือมีริ้วรอยบนชั้นเคลือบได้ ดังนั้นจึงต้องมีการนำรถเข้ามารับบริการ maintenance ตามรอบทุก ๆ 4-6 เดือน เพื่อเติมหรือบำรุงชั้น เคลือบแก้ว ให้รถกลับมาสวยและไล่น้ำได้ดีอีกครั้ง (หมายเหตุ: Maintenance Service ไม่ใช่การทำเคลือบสีหรือลงแว๊กซ์นะครับ)

บริการเคลือแก้ว

ข้อได้เปรียบของการเคลือบแก้ว

1. คุณจะรักรถมากขึ้นและอยากดูแลรถให้สวยไปอีกนาน
2. รถจะเงาใสสวยงามเป็นปีถึงหลายปี (โดยต้องเข้ามา Maintenance ตามรอบ)
3. เพียงการล้างรถ รถก็จะเงาสวยใสและล้างง่ายมาก
4. ป้องกันการเกิดรอยขนแมวได้ดีมาก

ข้อจำกัดของการเคลือบแก้วที่ควรทราบ

1. ช่วยชะลอการเกิดคราบต่าง ๆ บนพื้นผิวสีรถ แต่ไม่สามารถป้องกันการกระแทกแรง ๆ ได้ (เช่น สะเก็ดหิน)
2. ยังต้องใส่ใจและดูแลรถอยู่ เช่น การเข้ามาเรับบริการ maintenance ตามรอบ

สรุป

การ เคลือบแก้วรถยนต์ เหมาะกับผู้ที่มีงบประมาณพอสมควรและไม่ค่อยมีเวลาในการดูแลรถ แต่ยังต้องการให้รถยนต์ดูสวย เงางาม สามารถปกป้องรอยขนแมวหรือรอยขีดข่วนที่ไม่แรงมากได้

ถ้าหากคุณต้องการการปกป้องรถที่คุณรักจากรอยขีดข่วนต่าง ๆ ที่มีประสิทธิภาพมากกว่านี้ เราแนะนำให้เลือกใช้บริการติดฟิล์มกันรอยรถยนต์ จะเป็นวิธีดูแลรถที่คุ้มค่าและตรงกับความต้องการของคุณมากกว่า